วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554


ต้นด้านซ้ายไม่ได้รดด้วยน้ำหมักชีวภาพ ต้นด้านขวารดด้วยน้ำหมักชีวภาพ
บทที่ 4
สรุปผลการทดลอง

ทำการทดลองรดผักหลังจากได้น้ำหมักชีวภาพหรือน้ำEMแล้วตั้งแต่วันที่ 20/5/2554 ถึง 17/8/2554 โดยรดพืชผัก มี มะเขือเทศ คื่นช่าย มะเขือม่วง เป็นประจำทุก 7 วัน ผลปรากฎว่าผลการเจริญเติบโตแตกต่าง คือ ต้นพืชที่รดด้วยน้ำหมักชีวภาพหรือน้ำEM มีเจริญเติบโตและให้ผลได้ดีกว่า
ระยะเวลาดำเนินงาน
28 เมษายน- 17สิงหาคม 2554
สถานที่ปฏิบัติโครงงาน
ที่บ้าน
บทที่ 5
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. ทราบวิธีการทำน้ำหมักชีวภาพหรือน้ำEMจากเศษเปลือกสับปะรดและจากเศษผักพืชเศษอาหารต่างๆ2. ได้ทราบถึงประสิทธิภาพของน้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ EM ที่หมักจากเศษเปลือกสับปะรดและจากเศษผักพืชเศษอาหารต่างๆ
3. ได้ความภูมิใจที่ได้ทำการเผยแพร่แก่ผู้สนใจต่อไป
4. ได้รณรงค์ลดการใช้สารเคมีของเกษตรกรและผู้ที่สนใจ

ข้อเสนอแนะ
--สามารถทำน้ำหมักชีวภาพจากเศษผัก พืช ผลไม้ เศษอาหารที่เหลือทิ้งจากครัวเรือนอื่นๆได้                                                   
เอกสารอ้างอิง
1. dekthai.anamai.moph.go.th/story4/1/2/5/10/1.doc
2.
หนังสือเรียนสาระความรู้พื้นฐาน รายวิชา วิทยาศาสตร์ พว31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
3.
http://hpc4.anamai.moph.go.th/market/EM.html4.
4.
http://www.youtube.com/watch?v=fT8iEFvUR50&feature=related5. http://www.learners.in.th/blog/t-3/317514
บทที่ 3
 สรุปผลการทดลอง/วิธีการทดลอง ขั้นแรก การทำหัวเชื้อจุลินทรีย์
วัสดุและอุปกรณ์
1. เปลือกสัปรด   3 กก.
2. กากน้ำตาล      1 กก.3. น้ำซาวข้าวเข้มข้น 1 กก.วิธีทำหัวเชื้อจุลินทรีย์
1. สับเปลือกสัปรดหรือบด
2. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
3. เอาใส่ถังที่มีฝาปิดมิดชิดหมักไว้ 10 วัน
4. พอครบ 10 วันแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำหมักใส่ขวดพลาสติกไว้ขยายต่อไป
วิธีทำน้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ EM
1. น้ำประปา                8   ลิตร
2. กากน้ำตาล              250
cc
3. น้ำหัวเชื้อจุลินทรีย์  250
cc
4. นำส่วนผสมคนให้เข้ากันใส่ถังปิดฝาให้มิดชิดหมักไว้ 3 วัน
5. พอครบ 3 วันแล้ว
วัสดุและอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมและวิธีทำในขั้นต่อไป คือ
      5.1 เปลือกสับปรดที่สับหรือบดละเอียดแล้วประมาณ 3 กก. หรือมากกว่า
      5.2 ถุงปุ๋ย หรือถุงดำเจาะรู หรือถุงตาข่ายตาถี่ ขนาดเท่าที่จะบรรจุเปลือกสับปะรดได้หมด
       5.3 ก้อนหินใหญ่หรือวัสดุที่หนักเพื่อทับถุงที่ใส่เปลือกสับปะรดให้จมเวลาหมัก
       5.4 เอาเปลือกสับปะรดใส่ถุงปุ๋ยมัดปากถุงแล้วใส่ในถังที่หมักน้ำครบ 3 วันแล้วเอาก้อนหินหรือวัสดุที่หนักทับไว้ให้ถุงจมแล้วปิดฝาให้มิดชิด หมักไว้ 7 วัน
(ห้ามโดนแดด เก็บไว้ในที่ร่ม เก็บไว้ใช้ได้เป็นปี)
วิธีใช้น้ำหมักชีวภาพหรือน้ำEM รดผักพืชต่างๆ
--ต้องทำให้เจือจางก่อนโดยการผสมน้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ
EM
1 ส่วนต่อน้ำเปล่า 500 ส่วน รดทุก 7-10 วัน

วัสดุอุปกรณ์
1. ถังขนาดใหญ่ประมาณ 15-20 ลิตร 2 ใบ
2. ไม้พายสำหรับคน 1 อัน
3. ถ้วยตวง    1 อัน
4. ถุงตาข่าย 3 ถุง
5. เครื่องชั่ง 1 อัน
6. มีด 1 ด้าม
7.ถุงมือ 2 คู่
8. ขวดน้ำเปล่า2ลิตร 6 ขวด
9. ผ้าขาว 1 ผืน
10. กรวย 1 อัน
11. เขียง 1 อัน
12. เครื่องปั่น 1 เครื่อง
13. กระดาษ,ปากกา,  อื่นๆ

งบประมาณ
--ประมาณ 3000 บาท
ขอบเขตของการศึกษา

1. ศึกษาจากหนังสือเรียนสาระความรู้พื้นฐาน รายวิชา วิทยาศาสตร์ พว31001
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
2. หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต
วิธีการดำเนินงานและรายละเอียดของแผน
1.ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำโครงงาน
2. เลือกหัวข้อในการทำโครงงาน
3. จัดทำแผนการทำโครงงาน

4. ศึกษา ค้นคว้า เอกสารและแหล่งเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
5. เขียนโครงร่างการทำโครงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ของสาระรายวิชา
6
. จัดทำรายละเอียดของแผนปฏิบัติการการทำงานโครงงาน
7
. ปฏิบัติทดลองตามแผน โดยมีการจดบันทึกผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ
8
. เขียนรายงานสรุปผลการทำโครงงาน
 บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง

E.M. (อี.เอ็ม.) คืออะไร
E.M. ย่อมาจากคำว่า Effective Micro-organisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพคิดค้นพบโดย ศาสตราจารย์ ดร.เทรโอะ ฮิงะ (TEROU HIGA) แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิคทางชีวภาพ รวบรวมเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์ หมวดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ช่วยปรับปรุงสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น จุลินทรีย์หมวดสร้างสรรค์ที่มีใน EM ได้แก่ กลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง แลกโตบาซิลัส  เพนนิซีเลี่ยม ไตรโคเดอมา ฟูซาเรียม สเตรปโตไมซิส อโซโตแบคเตอ ไรโซเบียม ยีสต์ รา ฯลฯ จุลินทรีย์ใน EM ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ และมีพลัง แอนติออกซิเดชั่นซึ่งเป็นพลังสร้างสรรค์ของชีวิต ป้องกันมิให้มีการทำลายชีวภาพที่สำคัญของ เซลล์ได้ป้องกันฤทธิ์ของสารพิษได้หลายชนิด รักษาสภาพธรรมชาติของเซลล์ ได้มิให้เสื่อมสภาพรักษาสุขภาพของคนและสัตว์ มิให้เป็นโรคหรือเจ็บป่วยได้ง่าย
ลักษณะโดยทั่วไปของ EM
             
เป็นของเหลวสีน้ำตาลกลิ่นหอมอมเปรี้ยวอมหวาน (เกิดจากการทำงานของกลุ่มจุลินทรีย์ต่าง ๆ ใน E.M.) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมีหรือ ยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ พืช และแมลงที่เป็นประโยชน์ ช่วยปรับสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ ที่ทุกคนสามารถนำไปเพาะขยายเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ลักษณะการผลิต
              
   เพาะขยายจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากกว่า 80 ชนิด จากกลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง
-
กลุ่มจุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติค
-
กลุ่มจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน
-
กลุ่มจุลินทรีย์แอคทีโนมัยซีทส์
-
กลุ่มจุลินทรีย์ยีสต์
                 
ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ได้จากธรรมชาตินำมาเพาะเลี้ยงและขยายให้จุลินทรีย์ขยายตัวด้วยปริมาณที่สมดุลกันด้วยเทคโนโลยีพิเศษ โดยใช้อาหารจากธรรมชาติ เช่น โปรตีน รำข้าว และสารประกอบอื่น ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
ประโยชน์ของจุลินทรีย์โดยทั่วไป
ด้านการเกษตร

ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในดินและน้ำ
-
ช่วยแก้ปัญหาจากแมลงศัตรูพืชและโรคระบาดต่าง ๆ
-
ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำและอากาศผ่านได้ดี
-
ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ เพื่อให้เป็นปุ๋ย (อาหาร) แก่อาหารพืชดูดซึมไปเป็นอาหารได้ดี ไม่ต้องใช้พลังงานมากเหมือนการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์
-
ช่วยสร้างฮอร์โมนพืช พืชให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดีขึ้น
-
ช่วยให้ผลผลิตคงทน สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน มีประโยชน์ต่อการขนส่งไกล ๆ เช่น ส่งออกต่างประเทศ
-
ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากฟาร์มปศุสัตว์ ไก่และสุกร ได้ภายในเวลา 24 ชม.
-
ช่วยกำจัดน้ำเสียจากฟาร์มได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
-
ช่วยกำจัดแมลงวัน โดยการตัดวงจรชีวิตของหนอนแมลงวันไม่ให้เข้าดักแด้เกิดเป็นตัวแมลงวัน
-
ช่วยป้องกันอหิวาห์และโรคระบาดต่าง ๆ ในสัตว์แทนยาปฏิชีวนะและอื่น ๆ ได้
-
ช่วยเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทำให้สัตว์แข็งแรงมีความต้านทานโรคสูง ให้ผลผลิตสูงอัตราการตายต่ำ
การเก็บรักษาจุลินทรีย์
                  
สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน อย่างน้อย 6 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ ไม่เกิน 46 – 50 องศาเซลเซียส ต้องปิดฝาให้สนิท อย่าให้อากาศเข้าและอย่าเก็บไว้ในตู้เย็น ทุกครั้งที่แบ่งไปใช้ต้องรีบปิดฝาให้สนิท การนำ E.M. ไปขยายต่อควรใช้ภาชนะที่สะอาดและใช้ให้หมดภายในเวลาที่เหมาะสม
ข้อสังเกต
                   
หากนำไปส่องด้วยกล้องจุลทัศน์ที่มีกำลังขยายสูงไม่ต่ำกว่า 700 เท่า จะเห็น จุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ อยู่มากมาย E.M. ปกติจะมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยวอมหวาน ถ้าเสียแล้วจะมีกลิ่นเน่าเหมือน กลิ่นจากท่อน้ำทิ้งเก่า ๆ (E.M. ที่เสียใช้ผสมน้ำรดกำจัดวัชพืชได้) กรณีที่เก็บไว้นาน ๆ โดยไม่มีเคลื่อนไหวภาชนะ จะมีฝ้าขาว ๆ เหนือผิวน้ำ E.M.นั่นคือการทำงานของ E.M. ที่ผักตัวเมื่อเขย่าแล้วทิ้งไว้ชั่วขณะ ฝ้าสีขาวจะสลายตัวกลับไปใน E.M. เหมือนเดิมความเป็นมาของ EM       
              ศ.ดร.เทรูโอะ
 ฮิหงะ แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องส้ม แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาโรคระบาดในสวนส้มได้ แม้จะพยายามใช้ความรู้ความสามารถเพียงใดก็ไม่ได้ผล ในโอกาสนั้น ท่านได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดพิพิธภัณฑ์ศิลปะของท่านโมกิจิ โอกาดะ (เมซุซามะ) เกิดความสนใจ หนังสือเล่มหนึ่งของท่านโมกิจิ โอกาดะ เขียนไว้เกี่ยวกับการเกษตรธรรมชาติ มีข้อความที่น่าสนใจหลายเรื่อง เช่น
--การเกษตรที่ปลอดสารเคมี
--ภัยพิบัติของมนุษย์ชาติและธรรมชาติของโลก
--ความรักของธรรมชาติต่อสรรพสิ่งในธรรมชาติของโลก
--สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในดินมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
              ท่าน ศ.ดร.ทารูโอะ
 ฮิหงะ แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ได้เริ่มการค้นคว้า เมื่อ พ.ศ. 2510 และได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตในดินที่เรียกว่าจุลินทรีย์ เมื่อ พ.ศ.2525 เป็นการค้นพบเทคนิคการใช้ E.M. (Effective Microorganisms) กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ความสำคัญ ณ จุดนี้คือ ได้ค้นพบการทำงานของจุลินทรีย์ในธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ1. ทำงานแบบสร้างสรรค์ เรียกว่า กลุ่มจุลินทรีย์สร้างสรรค์ มีประมาณ10 %
2. ทำงานแบบเป็นกลาง เรียกว่า กลุ่มเป็นกลางคอยเกื้อหนุน 2 ฝ่ายแรก ทีมีจำนวนมาก ถึงประมาณ 80 %
3. ทำงานแบบทำลาย หรือ กลุ่มจุลินทรีย์โรค มีประมาณ 10 %
กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมีจุลินทรีย์รวมอยู่ 5 แฟมิลี่ 10 จีนัส 80 สปีชีส์ ในที่นี้จะมีทั้งจุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศ คือ แอโรบิค แบคทีเรีย (Aerobic Bacteria) และจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ คือ อนาโรบิค แบคทีเรีย (Anaerobic bacteria)
ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
ตัวแปรต้น               น้ำหมักชีวภาพ หรือน้ำEM
ตัวแปรตาม            การเจริญเติบโตและการออกผลของพืช
ตัวแปรควบคุม        ปริมาณอัตราส่วนผสมของปริมาณวัสดุ ในการหมักน้ำหมักชีวภาพEMสมมุติฐาน
ปุ๋ยหมักชีวภาพหรือน้ำEMจากเศษเปลือกสัปรด ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและออกผลของพืช
นิยามศัพท์ E.M. :  ย่อมาจากคำว่า Effective Micro-organisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพคิดค้นพบโดย ศาสตราจารย์ ดร.เทรโอะ ฮิงะ (TEROU HIGA) แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิคทางชีวภาพ รวบรวมเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์ หมวดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ช่วยปรับปรุงสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น จุลินทรีย์หมวดสร้างสรรค์ที่มีใน EM ได้แก่ กลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง แลกโตบาซิลัส  เพนนิซีเลี่ยม ไตรโคเดอมา ฟูซาเรียม สเตรปโตไมซิส อโซโตแบคเตอ ไรโซเบียม ยีสต์ รา
          จุลินทรีย์ : จุลินทรีย์ใน EM ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ และมีพลัง แอนติออกซิเดชั่นซึ่งเป็นพลังสร้างสรรค์ของชีวิต ป้องกันมิให้มีการทำลายชีวภาพที่สำคัญของ เซลล์ได้ป้องกันฤทธิ์ของสารพิษได้หลายชนิด รักษาสภาพธรรมชาติของเซลล์ ได้มิให้เสื่อมสภาพรักษาสุขภาพของคนและสัตว์ มิให้เป็นโรคหรือเจ็บป่วยได้
  บทที่ 1   บทนำ
หลักการและเหตุผล
         
ปัจจุบันพบว่าเกษตรกรมีการใช้สารเคมีมากขึ้นโดยขาดความรู้ว่าสารเคมีเหล่านั้นทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดิน การใช้สารเคมีอาจใช้ได้ผลผลิตดีในช่วงแรกแต่หลายปีต่อมาดินก็จะเสื่อมสภาพแร่ธาตุที่จำเป็นต่อพืชหมดไป จนทำให้เกษตรกรต้องเพิ่มสารเคมีในปริมาณที่มากขึ้นเพราะหากไม่เพิ่มสารเคมีก็จะไม่ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ การเพิ่มสารเคมีซึ่งนั้นก็หมายความว่าต้นทุนก็สูงตามมาด้วยและที่สำคัญสารเคมีมีอันตรายต่อผู้ใช้เองและต่อผู้บริโภคโดยตรง ดังนั้นผู้จัดทำจึงเล็งเห็นความสำคัญจึงได้จัดทำโครงงานนี้ขึ้นมาเพื่อทดสอบว่า น้ำหมักชีวภาพ ที่ใช้ต้นทุนต่ำ ปลอดภัย มีประโยชน์ต่อดินในระยะยาวและไม่ทำลายสัตว์เล็กๆนั้น โดย ได้ทำการทดลองใช้กับพืช ที่เป็นพืชไร่ และพืชผักสวนครัววัตถุประสงค์1. เพื่อศึกษาค้นคว้าวิธีการทำน้ำหมักชีวภาพหรือน้ำEMจากเศษเปลือกสับปะรด2. เพื่อศึกษาทดสอบประสิทธิภาพของน้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ EM ที่หมักจากเศษเปลือกสับปะรด
3. เพื่อทำการเผยแพร่
4. เพื่อรณรงค์ลดการใช้สารเคมีของเกษตรกรและผู้ที่สนใจ
สารบัญ
บทที่ 1 บทนำ                                                                       3
         --ที่มาและความสำคัญ                                                 3
         --วัตถุประสงค์                                                             3
         --ตัวแปร                                                                      4
         --สมมุติฐาน                                                                 4
         --นิยามศัพท์                                                                 4-5
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง                                                     5-9
บทที่ 3 วิธีการทดลอง                                                            10-13
         --อุปกรณ์                                                                      13-14
         --งบประมาณ                                                                14
         --ขอบเขตของการศึกษา                                                14
บทที่ 4 สรุปผลการทดลอง                                                     15
         --ระยะเวลา                                                                    15
        --สถานที่ปฏิบัติ                                                              15
บทที่ 5 ผลที่คาดว่าจะได้รับ                                                    16
        --ข้อเสนอแนะ                                                                 16
        --เอกสารอ้างอิง                                                                16-17